ขยายความที่
2
ความยาวคลื่น ความถี่คลื่น และพลังงาน
ในช่วงคลื่นของแสงที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (visible light) เป็นเพียงช่วงสั้น
ๆ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมายังพื้นโลก (ภาพที่ 3.5)
โดยมีช่วงคลื่นระหว่าง 4000 ถึง 7000 Angstrom (A) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นมากที่สุดได้แก่คลื่นวิทยุ
และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สั้นที่สุดได้แก่คลื่นรังสีแกมม่า ช่วงคลื่นที่มีความยาวคลื่นมากกว่าคลื่นแสง
visible light ที่ครอบคลุมช่วงความถี่ 7000 A ถึง 1 มม. ได้แก่รังสี infrared
และช่วงคลื่นที่มีความยาวคลื่นจาก 1 มม. ถึง 10 ซม. จะเป็นคลื่นประเภท microwaves
ความยาวคลื่นที่สูงกว่า microwaves จะเป็นคลื่นวิทยุ
ภาพที่
5 แถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic spectrum) ที่แสดงประเภทของคลื่นแบ่งตามความยาวคลื่น:
แหล่งที่มา Kaufmann III (1985)
คลื่นที่มีความยาวคลื่นต่ำกว่าคลื่นแสง
visible light ได้แก่รังสี ultraviolet ที่มีความยาวคลื่นในอยู่ช่วง 100
ถึง 4000 A รังสี X-rays มีช่วงคลื่นที่ต่ำกว่า 100 A ถึง 0.1 A คลื่นที่มีความยาวคลื่นต่ำกว่า
0.1 A เป็นรังสี gamma
หน่วยที่ใช้วัดความยาวคลื่นที่สั้นมาก ๆ นั้นจะใช้ค่าเป็น Angstrom (มีอักษรย่อเป็น
A ซึ่งมาจากชื่อนักฟิสิกค์ชาวสวีเดน A.J. Angstrom) โดย 1 A มีค่าเท่ากับ
10^-8 ซม. หรือเท่ากับ 10^-10 เมตร แต่ถ้าหากว่าช่วงคลื่นที่ยาวกว่า 10^-8
ซม. หน่วยวัดความยาวคลื่นที่ใช้อาจจะเป็น microns (µ ) หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
micrometer (µ m) 1 มีค่าเท่ากับ 10^-4 ซม. หรือ 10^-6 เมตร เมื่อเปรียบเทียบหน่วย
microns กับ Angstrom แล้ว 1 จะเท่ากับ 10^4 angstrom
ความถี่ของคลื่นแสง (v) เป็นการวัดจำนวนยอดคลื่น (ดูภาพที่ 1) เดินทางผ่านจุดที่กำหนดในระยะเวลา
1 วินาที โดยความถี่ของคลื่นจะมีความสัมพันธ์กับความเร็วของแสง (c) ซึ่งมีค่าเท่ากับ
3 x 10^10 ซม.ต่อวินาที และความยาวคลื่น (§ ) ดังสมการ
§=
c/v
ยกตัวอย่างเช่น ก๊าซไฮโดรเจนที่อยู่นอกชั้นบรรยากาศโลกจะส่งคลื่นวิทยุ
(radio wave) ที่มีความยาวคลื่นเท่ากับ 21.12 ซม. ดังนั้น
§=
c/v = (3 x1010)/21.12 = 1.420 x 109 รอบต่อวินาที
= 1,420,000,000 รอบต่อวินาที
หนึ่งรอบของความถี่คลื่นเรียกว่า
hertz (Hz) ซึ่งตั้งตามชื่อเพื่อเป็นเกียติของนักฟิสิกค์ที่ค้นพบคลื่นวิทยุ
(Heinrich Hertz, 1888) เนื่องจากความถี่ของวิทยุโดยทั่วไปจะสูงมากจึงมีการใช้อักษรนำหน้าเช่น
Kilo (k ซึ่งหมายถึง 1,000) หรือ Mega (M ซึ่งหมายถึง 1,000,000) ดังนั้นความถี่ของคลื่นวิทยุที่ส่งออกมาจากก๊าซไฮโดรเจนจึงมีค่าเท่ากับ
1420MHz เป็นต้น
รังสีในช่วง ultraviolet ซึ่งมีความยาวคลื่นสั้น โดยทั่วไปผู้ศึกษามักจะเรียกหน่วยความยาวคลื่นเป็น
angstrom แต่ในกรณีของรังสี X-ray และ Gamma นั้นมักจะถูกกำหนดเป็นหน่วยพลังงานมากกว่าการเรียกเป็นความยาวคลื่น
จากทฤษฎีที่กล่าวว่าแสงเดินทางในรูปแบบของลำอนุภาค photon พลังงาน (E) ที่อยู่อนุภาค
photon ซึ่งหมายถึงพลังงาน quantum นั้นมีความสัมพันธ์กับความถี่ของคลื่นแสงดังสมการ
E = h/v = hc/§
โดย
h เป็นค่าคงที่ที่เรียกว่า Planck's constant ที่ตั้งชื่อตามนักฟิสิคก์ชาวเยอรมัน
Max Planck ที่ค้นพบความสัมพันธ์ดังกล่าวในปี 1900 จากงานทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า
h มีค่าเท่ากับ 6.625 x 10-27 erg/sec โดย erg เป็นหน่วยพลังงานซึ่งมีความสัมพันธ์กับค่าพลังงานไฟฟ้า
electron volt (eV) ซึ่ง 1 eV = 1.6 x 10-15 erg ดังนั้นค่า Planck's constant
สามารถกำหนดได้เป็น
h
= 4.135 x 10-15 eV sec
ดังนั้นถ้าหากจะคำนวณค่าพลังงานของรังสี
X-rays ที่มีความยาวคลื่น 10 A จะมีค่าเท่ากับ
E
= hc/ = (4.135 x 10^-15)(3 x 10^10)/10 x 10^-8 =1.24 x 10^-3 eV
= 1.24 keV
จะเห็นได้ว่ารังสี
X-rays ซึ่งมีความยาวคลื่นในช่วงต่ำลงจาก 100 A ถึง 0.1 A จะมีพลังงานอยู่ในช่วง
124 eV ถึง 124 KeV หากพลังงานที่มากกว่า 124 KeV จะเป็นพลังงานจากรังสี
gamma
จบขยายความ
โครงสร้างลำดับการถ่ายทอดพลังงานของสิ่งมีชีวิต
ถ้าหากเรามองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบเกษตรนิเวศในแง่ของการถ่ายทอดพลังงาน
เราสามารถจัดลำดับสิ่งมีชีวิตได้ 3 อันดับได้แก่สิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้สร้างและสะสมพลังงาน
(autotroph) สิ่งมีชีวิตที่เก็บเกี่ยวหรือตักตวงพลังงานจากผู้สร้างและสะสมพลังงาน
(heterotroph หรือ consumer) และสิ่งมีชีวิตผู้ย่อยสลาย (decomposer) สารอินทรีย์
ในที่นี้หมายถึงร่างกายสิ่งมีชีวิตทั้ง autotroph และ heterotroph ที่ตายแล้วให้เป็นสารอนินทรีย์
ซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้ง 3 ประเภทนี้โดยธรรมชาติแล้วจะทำให้ระบบนิเวศอยู่ในสภาพที่สมดุลย์
โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตผู้สร้างและสะสมพลังงานหมายถึงพืชที่สามารถสังเคราะห์แสงได้โดยอาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์และธาตุอาหารที่เป็นอนินทรีย์สาร
ส่วนสิ่งมีชีวิตที่เป็นพวก heterotroph นั้นสามารถจัดแบ่งได้เป็น สิ่งมีชีวิตที่ใช้พืชเป็นอาหาร
(herbivore) สิ่งมีชีวิตที่กินสัตว์เป็นอาหาร (carnivore) และสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร
(omnivore) อันดับการถ่ายทอดพลังงานจากผู้สร้างและสะสมพลังงานไปสู่พวก herbivores
และการถ่ายทอดพลังงานจากพวก herbivore ไปสู่พวก carnivore นั้นเรียกว่าเป็นลูกโซ่อาหาร
(food chain) ดังยกตัวอย่างเช่น
Autotroph |
Herbivore |
Carnivore |
Carnivore |
|
Primary consumer |
Secondary consumer |
Tertiary consumer |
ข้าวโพด |
หนอนเจาะกินฝัก |
แตนเบียนพาราไซด์หนอน |
แมลงมุม |
โดยทั่วไปแล้วแต่ละขั้นของการถ่ายทอดพลังงานของโซ่อาหารเรียกว่า
trophic level ตามธรรมชาตินั้น สิ่งมีชีวิตที่เป็นพวก heterotroph ชนิดหนึ่ง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวก herbivore, carnivore หรือ omnivore จะไม่ใช้หรือกินสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะเป็นอาหาร
หรืออีกนัยหนึ่งจะไม่จัดอยู่เฉพาะ trophic level เดียว แต่ปรกติจะอาศัยหรือกินสิ่งมีชีวิตหลายประเภท
ยกตัวอย่างเช่น นก จะกินแมลงมากกว่า 1 ชนิด หรือ มนุษย์กินพืชหลากหลายประเภท
และเนื้อสัตว์หลายชนิด เป็นต้น ซึ่งปรากฏการเช่นนี้จะทำให้เกิดโซ่ใยอาหารที่ซับซ้อนซึ่งเรียกว่าเส้นใยอาหารหรือ
food web (ภาพที่ 6)
ดังนั้นการถ่ายทอดพลังงานไม่ว่าจะเป็นในระบบนิเวศธรรมชาติหรือระบบเกษตรนิเวศ
จากผู้สร้าง ไปสู่ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายจะประกอบไปด้วยเส้นใยอาหารที่สลับซับซ้อน
ภาพที่
6 ตัวอย่างเส้นใยอาหาร (food web) ที่ประกอบไปด้วยหลายโซ่อาหาร (trophic
levels) หลายสาย
ผลิตผลปฐมภูมิ
ผลิตผลปฐมภูมิ (primary production) เป็นพลังงานในรูปของผลิตผลอินทรีย์ (biomass)
ที่เกิดจากการตรึงพลังงานแสงที่ได้จากขบวนการสังเคราะห์แสงของสิ่งมีชีวิตพวก
autotroph หรือกล่าวโดยทั่วไปก็คือพืชเป็นหลัก อัตราการสะสมพลังงานโดยการสร้างผลิตผลอินทรีย์ของพืชเรียกว่า
primary productivity การที่พืชตรึงพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อสร้างผลผลิตอินทรีย์โดยรวมแล้วเรียกว่า
gross primary production อย่างไรก็ตามจากการที่พืชเองต้องสร้างพลังงานเพื่อการมีชีวิตอยู่ด้วยการหายใจ
ดังนั้นผลผลิตอินทรีย์ที่พืชสร้างขึ้นมาและถูกหักลบในส่วนที่ต้องใช้ในขบวนการหายใจ
(respiration process) เรียกผลผลิตอินทรีย์ส่วนนี้ว่า net primary production
การวัดผลผลิตอินทรีย์โดยทั่วไปจะกำหนดหน่วยเป็น kilocalories (kcal) ต่อพื้นที่หนึ่งตารางเมตร
ต่อเวลา เช่น kcal m^-1d^-1 หรือ kcal m^-1y^-1 เป็นต้น ในด้านการศึกษาหรือวิจัยพืชโดยเฉพาะพืชไร่
(agronomic research) การวัดผลผลิตอินทรีย์จะใช้การวัดในรูปแบบของน้ำหนักแห้ง
เช่น g m^-1d^-1 เป็นต้น
การสะสมน้ำหนักผลผลิตอินทรีย์หรือ biomass (W) ของพืชโดยโดยทั่วไปจะมีการสะสมที่มีลักษณะรูปตัว
S (S-shaped) หรือ sigmoidal curve ซึ่งรูปแบบของการสะสมน้ำหนักแห้งของผลผลิตอินทรีย์ในลักษณะ
S-shaped นี้จะเห็นได้ชัดในพืชล้มลุก (ภาพที่ 7ก) ถ้าหากเราวัดอัตราการสะสมน้ำหนักแห้งนี้
(หน่วยต่อเวลา เช่น กรัม ต่อตารางเมตร ต่อวัน, g m^-2d^-1) อัตราการสะสมน้ำหนักแห้งนี้เรียกว่า
crop growth rate (CGR) (ภาพที่7ข) ซึ่งหมายถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก
W ต่อหนึ่งหน่วยเวลา หรือ W/ t โดยปรกติแล้วจะมีหน่วยสากล (SI Unit: ดูส่วนขยายความที่
3.3) เป็น kg ha^-1d^-1 หรือ g m^-2d^-1 การวัดอัตราการเจริญเติบโตของพืช
หรือการสะสมน้ำหนักแห้งนั้น (CGR) สามารถทำได้โดยเก็บข้อมูลน้ำหนักแห้งของพืชเป็นช่วง
ๆ ตลอดระยะเวลาของการเจริญเติบโตของพืช โดยการคำนวณค่า CGR ทำได้โดยการหารค่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
( W) ด้วยระยะเวลาการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักนั้น ( t) แต่ถ้าจะให้มีค่าความถูกต้องมากขึ้นสามารถทำได้ด้วยวิธีการคำนวณทางแคลคูลัสโดยการคำนวณค่าอนุพันธ์ปฐมภูมิ
(first derivative) dW/dt ของสมการที่ได้จากการ fit curve หรือการหาสมการ
regression ของข้อมูลการสะสมน้ำหนักแห้ง (ภาพที่ 8)
ภาพที่
7 (ก) การสะสมน้ำหนักแห้งรวม และฝักของต้นข้าวโพด (ข) อัตราการเจริญเติบโตของน้ำหนักแห้งรวม
และฝักข้าวโพดที่คำนวณมาจากข้อมูลในกราฟ (ก): แหล่งที่มา Loomis and Connor
(1992)
ภาพที่
8 (ก) การสะสมน้ำหนักแห้งของรวงข้าวในส่วนเมล็ดของยอดรวง กลางรวง และโคนรวง
(ข) กราฟแสดงอัตราการสะสมน้ำหนักแห้งของรวง (dW/dt) ที่ได้จากการคำนวณค่าอนุพันธ์ปฐมภูมิจากสมการ
regression จากข้อมูลการสะสมน้ำหนักใน (ก): แหล่งที่มา Jongkaewwattana (1990)
จากกราฟการสะสมน้ำหนักแห้งที่เป็น
sigmoidal curve (ภาพที่ 5ก) สามารถแบ่งช่วงระยะการเจริญเติบโตของพืชได้เป็น
3 ช่วงได้แก่ การเจริญเติบโตระยะแรกที่เป็นแบบ exponential phase (E) ซึ่งเป็นช่วงระยะที่พืชเริ่มมีการสร้างและสะสมน้ำหนักแห้งอย่างรวดเร็ว
ซึ่งโดยมากมักจะเป็นช่วงระยะเวลาหลังการงอกและการสร้างใบและรากในช่วงต้น
ๆ ของการเจริญเติบโต ระยะนี้จะถูกกำหนดโดยพื้นที่ใบและการรับพลังงานแสงเพื่อใช้ในการสังเคราะห์เนื้อเยื่อในส่วนของต้นและใบ
ระยะที่สองได้แก่ระยะการเจริญเติบโต
กลางฤดู (grand period, G) ซึ่งจะเป็นระยะการเจริญเติบโตทางต้นและใบ โดยมีลักษณะการสะสมน้ำนักแห้งเป็นเส้นตรง
ระยะนี้เป็นผลของการขยายการสร้างเนื้อเยื่อเนื่องจากพื้นที่ใบมากขึ้น และการสังเคราะห์แสงก็มาขึ้นเป็นลำดับ
ระยะสุดท้ายของการเจริญเติบโตคือระยะสุกแก่ (senescent phase, S) เป็นระยะที่พืชเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการเจริญเติบโตทั้งทางต้นใบ
และในกรณีของธัญญพืช ผลผลิตที่เป็นเมล็ดก็จะสุกแก่ บางพืชเช่นข้าว จะเกิดขบวนการ
remobilization คือการเคลื่อนย้ายของสารสังเคราะห์ (photosynthate) ของใบไปยังเมล็ด
ซึ่งส่งผลให้ใบแห้งไปในที่สุด
อัตราการสะสมน้ำหนักแห้งในช่วง exponential phase นั้นจะเป็นสัดส่วนกับน้ำหนักแห้ง
ณ จุดนั้น ๆ โดย
dW/dt
=µ W
โดย µ เป็นค่า
specific growth rate เมื่อจัดเรียงสมการข้างต้นใหม่ ค่าµ จะมีค่าเท่ากับ
relative growth rate (RGR) ซึ่งเป็นอัตราการสะสมน้ำหนักแห้งต่อน้ำหนักพืชในขณะนั้น
ดังนั้นถ้าสมมติว่าพืชสามารถเจริญเติบโตได้อย่างไม่จำกัดในลักษณะ exponential
และกำหนดให้น้ำหนักแห้ง (W) ณ เวลา t เท่ากับ W(t) และน้ำหนักแห้งเริ่มต้นที่
t=0 เท่ากับ W0 ดังนั้น
W(t) =µ W0^ µe t
อัตราการสะสมน้ำหนักแห้งของพืช
ณ ระยะเวลาหนึ่ง ๆ ที่ t ซึ่งสามารถแสดงค่าได้โดย dW/dt สามารถหาค่าได้จากสมการการสะสมน้ำหนักแห้งข้างต้นโดย
dW/dt
= W0^ e t หรือ
(1/W) (dW/dt) = RGR = µ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าค่า
specific growth rate จะเป็นค่าเดียวกับ relative growth rate โดยค่า µ
จะมีค่ามากเมื่อพืชอยู่ในช่วง exponential phase หรือช่วงแรกของการเจริญเติบโต
เมื่อพืชพ้นระยะนี้ไปแล้ว ค่า µ จะลดลงเมื่อพืชมีการสะสมน้ำหนักแห้งมากขึ้น
|