1. ณัฏฐิณี ภัทรกุล รหัส 4528107 |
การเลี้ยงฝายหรือผีขุนน้ำ
นับตั้งแต่โบราณกาลมาประชาชนคนไทยส่วนมากได้อาศัยแม่น้ำลำธารเป็นที่นำน้ำเข้า
หล่อเลี้ยงไร่นา ทำการเพาะปลูกตลอดมา สมัยที่บ้านเรือนยังไม่เจริญทางเทคโนโลยี
ไม่มีการชลประทาน ซึ่งทำเป็นทำนบหรือเขื่อนใหญ่นั้น ประชาชนโดยเฉพาะทางภาคเหนือตอนบนนิยมใช้ชลประทานราษฎร์
|
2. นายจักรกฤษณ์ ขันทอง รหัส 4528103 |
ภูมิปัญญาชาวบ้านภาคอีสาน
"เฮ็ดกินเฮ็ดอยู่
ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นแหล่งความรู้ที่ดีอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน
ชาวบ้านดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นเวลาช้านาน อาจเป็นร้อยเป็นพันปี เรียกว่ามีความยั่งยืน
สิ่งใดจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อมีดุลยภาพ วิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้านคือการดำรงอยู่ด้วยกันอย่างได้ดุลยภาพ
ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เช่น จะทำมาหากินอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับธรรมชาติ
จะต้องมีเอื้ออาทรและมีขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติต่อกันอย่างไร คนทั้งหมดจึงจะอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ
จะเคารพนับถืออะไรร่วมกัน ที่จะผูกพันจิตวิญญานของคนในชุมชนให้คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
เช่น การรักษาป่าและต้นน้ำลำธาร ภูมิปัญญาเหล่านี้รวมเรียกว่า "วัฒนธรรม"
วัฒนธรรมเป็นภูมิปัญญาที่สะสมมาจากการปฏิบัติจริงและถ่ายทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน
ความรู้ของมนุษย์ไม่ได้มีแต่ที่เกิดในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ความรู้อีกกระแสหนึ่งซึ่งเกิดมาก่อน
คือความรู้ที่เกิดจากทดลองปฏิบัติจริงในห้องทดลองทางสังคม คือความรู้กระแสวัฒนธรรม
หรือความรู้ดั้งเดิม (Traditional knowledge) หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน ความรู้เหล่านี้ที่ถูกค้นพบ
ลองใช้ ดัดแปลง ถ่ายทอดกันมาด้วยเวลานานเป็นพัน เป็นหมื่นปีจึงมีค่ายิ่งนัก
เป็นมรดกทางปัญญาของมนุษย์ |
3.
ณัฐชยา ปิงอินถา รหัส 4528108
|
สังคมไทยเป็นสังคมกสิกรรมมาก่อน
เดิมประชากรส่วนใหญ่นิยมเพาะปลูกข้าวเป็นหลักมาแต่โบราณ ข้าวเป็นทั้งพืชอาหารหลักและพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญที่สุด
ข้าวมีความผูกพันกับคนไทยอย่างใกล้ชิด เรื่องราวของข้าวและสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยข้าว
จึงย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยพื้นฐานกำหนดลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของคนไทย
และย่อมเป็นเหตุปัจจัยสะท้อนลักษณะต่างๆทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมให้เห็นอย่างชัดเจน
ในสังคมกสิกรรมทุกสังคมมีพิธีกรรมต่างๆ เพื่อบวงสรวง บูชา อ้อนวอนเทพเจ้าเกี่ยวกับพืชพรรณธัญญาหารและเทพเจ้าเกี่ยวกับดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดถึงธรรมชาติอื่นๆ อันเป็นหลักปฏิบัติที่เชื่อว่าจะก่อให้เกิดอาหารอุดมสมบูรณ์ เกิดความเป็นมงคลและความปลอดภัยมั่นคงแก่ชีวิต ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เช่นพิธีบูชาเทพธิดาโพสวเทวีอีดีมิสเตอร์ของชาวกรีกโบราณ พิธีไหว้ฟ้าดินของชาวจีน พิธีสู่ขวัญแม่โพสพของชาวบาหลีประเทศอินโดนีเซีย พิธีเชิญขวัญข้าวโพดของชาวอินเดียนแดง เป็นต้น สำหรับสังคมไทยนั้นมีความผูกพันกับข้าวมาแต่โบราณ จนข้าวเป็นทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการกำหนดพฤติกรรม และวิถีชีวิตด้านต่างๆ ในไทยนั้นมีพิธีกรรมสำคัญหลายอย่างที่เกี่ยวกับข้าวและการทำนา ซึ่งมีความสำคัญดังนี้ พิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและการทำนา - เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย หรือวัฒนธรรมไทยหรือวัฒนธรรมข้าวที่สังคมได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นหลักให้เกิดความมั่นคงในการดำเนินชีวิต มีวัตถุประสงค์และแนวทางเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญญาหาร และเพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดถึงความอยู่เย็นเป็นสุขของคนและสิ่งที่เกี่ยวข้อง -เป็นปฏิบัติการ ประการหนึ่งในการสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อให้เกิดสภาวะเหมาะสมทางนิเวศวิทยา เพื่อให้การอยู่ร่วมกันของธรรมชาติดังกล่าวรวมทั้งมนุษย์มีสันติสุข -เป็นสัญลักษณ์แสดงวิวัฒนาการด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม อนึ่ง ในพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและการทำนา หรือวัฒนธรรมข้าว น้ำเป็นปัจจัยสำคัญพื้นฐาน ดินอันอุดมสมบูรณ์และแรงงานทั้งคนและสัตว์ก็เป็นเรื่องสำคัญ มนุษย์จึงใช้ปัญญาสร้างพิธีกรรมและธรรมเนียมต่างๆในรูปแบบ วิธี อุบาย ให้สอดคล้องกับความเชื่อและสิ่งแวดล้อมไว้มากมาย ในการจำแนกพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและการทำนานั้นเมื่อวิเคราะห์ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของพิธีกรรมแล้วสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ 1. พิธีกรรมเพื่อการบวงสรวง อ้อนวอน เสี่ยงทาย ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ให้ปราศจากภยันอันตราย ตลอดจนขอความเชื่อมั่นในการดำรงชีพในรอบปี พิธีกรรมส่วนนี้จะจัดขึ้นก่อนลงมือเพาะปลูก เช่น พิธีขอฝนโดยแห่นางแมว เทศน์พญาคันคาก สวดคาถาปลาช่อน พิธีบูชาแถน พิธีบุญบั้งไฟ พิธีบุญชำฮะ พิธีเซ่นบูชาหลักเมือง พิธีเลี้ยงผีขุนน้ำ พิธีเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ เป็นต้น 2. พิธีกรรมเพื่อการเพาะปลูก มีเป้าหมายเพื่อการเพาะปลูกโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำพิธีในช่วงเวลาที่จะลงมือเพาะปลูก มีเจตจำนงเพื่อขอโอกาส ขออนุญาต (ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พืช วิญญาณที่ครองพื้นที่) บวงสรวง บนบาน บอกกล่าว ฝากฝัง ให้การทำนาทำไร่ในปีนั้นๆเป็นไปด้วยดี ทั้งคน ข้าว สัตว์ และเป็นความอ่อนน้อมต่อข้าวและสิ่งที่เกี่ยวข้อง พิธีกรรมส่วนนี้ได้แก่ พิธีแรกนา พิธีเลี้ยงตาแฮก พิธีบูชาภูมินา พิธีแรกไนตกกล้า พิธีแรกนาดำ พิธีปักข้าวตาแฮก พิธีหว่านข้าว พิธีเชิญแม่โพสพใส่ข้าวปลูก พิธีเชิญแม่โพสพลงนา พิธีบูชาแม่ธรณี พิธีเอาฝุ่นใส่นา เป็นต้น 3. พิธีกรรมเพื่อการบำรุงรักษา มีเป้าหมายเพื่อบำรุงรักษาต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ปลอดภัยจากศัตรูพืชนานา และเพื่อแสดงความอ่อนน้อมต่อข้าวและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่อง พิธีกรรมเหล่านี้จัดขึ้นระหว่างเวลาการเพาะปลูกจนกระทั่งเก็บ ได้แก่ พิธีไล่น้ำ พิธีปักตาเหลว พิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ พิธีไหว้เจ้าที่ พิธีรับขวัญแม่โพสพ พิธีส่งข้าวบิณฑ์ พิธีคดข้าว พิธีไล่นก หนู เพลี้ย แมลง ปู หนอน ฯลฯ โดยน้ำมนต์ ผ้ายันต์ โดยหว่านทราย โดยเครื่องราง หรือโดยภาวนา เป็นต้น 4. พิธีกรรมเพื่อการเก็บเกี่ยว มีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลผลิต ให้คนปลอดภัยในการเก็บเกี่ยว และเพื่อแสดงความอ่อนน้อมต่อข้าวและสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้อง พิธีเหล่านี้จัดขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ได้แก่ พิธีรวบข้าว พิธีแรกเกี่ยวข้าว พิธีเชิญข้าวขวัญ พิธีทำลาน พิธีปลงข้าว พิธีขนข้าวขึ้นยุ้ง พิธีตั้งล้อม พิธีปิดยุ้ง พิธีเปิดยุ้ง เป็นต้น 5. พิธีกรรมเพื่อเฉลิมฉลอง มีเป้าหมายเพื่อเฉลิมฉลองผลผลิตที่ได้แก้บนหรือเซ่นสังเวยเทพยดาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้คุ้มครองคน สัตว์ และบรรดาพืชพรรณธัญญาหารให้ได้ผลดี ตลอดจนเลี้ยงอาหารตอบแทนน้ำใจเพื่อนบ้าน รวมทั้งขอขมาลาโทษและขออโหสิถ้าได้ล่วงเกินสิ่งใด ผู้ใด หรือสัตว์เลี้ยงที่ได้พึ่งพาอย่างวัวควาย ในการนี้จะมีพิธีเลี้ยงอุทิศส่วนกุศลให้เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปู่ย่าตายาย เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนสรรพสัตว์ เป็นการตอบแทนบุญคุณแก่ผู้มีคุณทั่วหน้า พิธีกรรมเหล่านี้จัดขึ้นหลังการเก็บเกี่ยว ได้แก่ พิธีบุญคูนลาน พิธีสู่ขวัญข้าว พิธีเผาข้าว พิธีขอพร พิธีบุญกุ้มข้าวใหญ่ พิธีบุญข้าวจี่ พิธีกวนข้าวทิพย์ พิธีกวนข้าวยาคู พิธีสู่ขวัญข้าวขึ้นเล้า พิธีสู่ขวัญเกวียน พิธีสู่ขวัญควาย พิธีแห่ข้าวพันก้อน พิธีลาซัง พิธีกองข้าว เป็นต้น พิธีกรรมแต่ละประเภทที่กล่าวมานั้น แต่ละท้องที่แต่ละชุมชนมีวิธีการปฏิบัติแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของพื้นที่และธรรมเนียมของชุมชนนั้นๆ ซึ่งในที่นี้จะขอยกตัวอย่างพิธีกรรมที่เกี่ยวกับข้าวและการทำนาของเกษตรกรที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ได้แก่ พิธีสู่ขวัญข้าว พิธีสู่ขวัญข้าว |
4.ชุติมา
สุรีพิทักษ์ รหัส 4528106
|
ประเพณีสังเวยการกำจัดศัตรูพืช
ประเพณีการส่งเครื่องสังเวยเพื่อกำจัดศัตรูพืช เกิดขึ้นเพราะความห่วงใยในทรัพย์สินของเกษตรกรที่จะถูกศัตรูพืชมาทำลายจนย่อยยับ และมีความเชื่อว่า ตัวเพลี้ยก็ดี ตัวหนอนก็ดี หรือแมลงต่างๆ ที่ลงมากินพืชผลข้าวกล้าของชาวไร่ชาวนาที่ปลูกกำลังงอกงามในท้องทุ่งนั้น ถูกสิ่งชั่วร้ายคือ ศัตรูที่มาในร่างของตัวหนอน หรือตัวเพลี้ย หรือตัวแมลงที่มาทำลายพืชผลของเกษตรกร หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เทพอสูรพิโรธ ส่งบริวารมามากยิ่งขึ้น ข้าวของก็จะถูกทำลาย จนไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อให้ศัตรูที่มาทำลายข้าวหยุดการทำการหรือกลับหลังไปทางอื่น ชาวไร่ชาวนาจึงพากันตั้งเครื่องพลีกรรมสังเวย โดยการสร้างร้านไม้ไผ่ ประกอบศาลเพียงตาขึ้นบนผืนนาที่ถูกหนอนหรือเพลี้ยลงทำลายพืช แล้วทำสะตวงหรือกระทงขนาดใหญ่ 4 เหลี่ยมจัตุรัสกว้างประมาณ 1 ศอกคืบ ใส่เครื่องสังเวย ข้าวสุก แกงส้ม แกงหวาน ผลไม้ หมากพลู บุหรี่ ดอกไม้ ธูปเทียน ช่อสีดำ บางแห่งเครื่องสังเวยเป็นประเภทอาหารดิบ เช่นข้าวเปลือก ข้าวสาร เนื้อ หมู ปลาดิบทั้งหมด แม้ผลไม้ก็เอาที่ยังดิบอยู่ มีความเชื่อว่าได้ส่งอาหารเป็นเครื่องสังเวยพลีกรรมแก่พวกยักษ์ หรืออสูรยักษ์ หรืออสูรทั้งหลายได้มากินเครื่องสังเวย แล้วจะได้เรียกบริวารให้กลับไป ความเชื่อเกี่ยวกับการทำสังเวย ประเพณีความเชื่อที่เป็นการแสดงถึง
ความตระหนักในคุณค่าของพืชผลและทรัพยากรธรรมชาติ แม้ความเชื่อเหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้
แต่ก็ทำให้เกษตรกรลดความวิตกกังวลได้ หากเกิดการสูญเสียความเชื่อพื้นบ้านต่างๆนี้
ก็อาจเกิดผลกระทบต่อสมดุลย์ของระบบนิเวศวิทยา กล่าวคือ หากชาวบ้าน เกษตรกรปฏิเสธเทพเจ้าแห่งน้ำ
ดิน ลมฟ้าอากาศ ป่าไม้ ฯลฯ รวมถึงการแสดงพฤติกรรมที่แสดงว่าตนเองเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เช่นสามารถบังคับให้ข้าวมีผลผลิตสูง บังคับให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตามต้องการ
เป็นต้น เหล่านี้คือพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความเป็นนายธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดการทำลายความสมดุลย์ทางนิเวศวิทยาอย่างกว้างขวาง
ดังเช่นตัวอย่างการทำพิธีการสังเวยการกำจัดศัตรูพืชในอดีต ก็เพื่อให้พืชผลไม่ถูกทำลายโดยศัตรูพืช
แต่ปัจจุบันนี้นิยมการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืช ซึ่งการใช้สารเคมีไม่เพียงแต่ทำลายเพลี้ยและตัวหนอนเท่านั้น
แต่ยังทำลายระบบนิเวศวิทยาในไร่นาและพื้นที่ใกล้เคียงให้เสียสมดุลย์ไปด้วย
และแม้แต่ชาวบ้านหรือเกษตรกรเองก็ได้รับสารเคมีและสารตกค้างเหล่านี้ |
5.ชนิดา แทนธานี รหัส 4528105 |
ภูมิปัญญาชาวบ้านและความเชื่อของชาวล้านนา
|
6.
สยาม กันธา รหัส 4528112
|
การเลี้ยงผีขุนน้ำ
|
7. อัตถ์ อัจฉริยมนตรี รหัส 4428408 |
คติโบราณพื้นบ้าน หรือความเชื่ออะไรบ้างที่สัมพันธ์กับนิเวศวิทยา 1. คติเรื่องแม่โพสพ
หรือโคสก กับระบบนิเวศน์ 2. ทรัพยากรป่าไม้
ต้นน้ำลำห้วย ความเชื่อ พิธีกรรม และระบบนิเวศน์ 1. ป่าตามประเพณี
และพิธีกรรม ความเชื่อหลายอย่างเป็นข้อห้ามเพื่อให้เกิดการดำรงชีวิตแบบพอมีพอกิน
และรักษาธรรมชาติไว้ เพื่อเป็นแหล่งทำกินตลอดไป เช่น ห้ามตัดไม้ไผ่ กอละไม้เกิน
2 ต้น หน่อไม้เก็บได้กอละ 2 หน่อ ถ้าเก็บเกินเป็นบาป และมีผลร้ายต่อผู้เก็บไม้
นอกจากนี้ไม้ที่เกี่ยวกับคนตายรวมทั้งไม้ในป่าช้าห้ามมิให้คนเกี่ยวข้อง เช่น
ห้ามตัดไม้ซึ่งเอาใบห่อข้าวให้คนตาย ไม้ที่ใช้แขวนเสื้อผ้าของคนตายในวัยหนุ่มสาว
ไม้หามคนตาย ไม้ซึ่งตัดแล้วใช้ประโยชน์ได้น้อย เช่น ไม้ต้นแผด ต้นไม้ที่ได้ทำพิธีกรรมเอาไว้
เป็นต้น 2. ความเชื่อในต้นน้ำลำห้วย ท้ายนี้ ผมมี Website เพิ่มเติมให้อาจารย์ครับ
เป็นวิชาการสอนนิเวศวิทยาสำหรับพระสงฆ์ซึ่งมีวิธี และแนวคิดเชิงระบบเหมือนกันนะครับอาจารย์
ที่ Website: [http://mcu.rip.ac.th/mcu/mcu21/23/course.html]. และWebsiteเกษตรยั่งยืนที่
Website: [http://www.agri.cmu.ac.th/trfn/e_magazine/03042545.pdf] เอกสารอ้างอิง โครงการบวชป่าชุมชน 50 ล้านต้น, บวชป่า
ภูมิปัญญาในการฟื้นฟูธรรมชาติ. กรุงเทพฯ ; กรมส่งเสริม |
8.
จิราวัฒน์ ปัญญาเทียม รหัส 4528104
|
ภูมิปัญญาชาวบ้าน
|
9.
พิกุล ซุนพุ่ม รหัส 4528117
|
ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
ภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นระบบความคิดและวิธีการแก้ปัญหาต่างๆของมนุษย์
ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและวัฒนธรรมซึ่งเกิดจากการสังเกต การลองผิดลองถูก
หรือใช้วิธีการอย่างอื่นจากประสบการหลายๆครั้งแล้วสรุปเป็นบทเรียนภายใต้กรอบความคิดความเชื่อของบุคคลในสังคม
ระบบความคิดเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านในลักษณะนามธรรมแสดงออกในเรื่อง ความเชื่อ
ความศรัทธา ความกลัวหรือแนวความคิดอื่นๆที่ยึดมั่นร่วมกันและเป็นอุดมการณ์ในการดำรงชีวิต
อีรูปแบบหนึ่งเป็นลักษณะของรูปธรรมที่แสดงออกมาเห็นได้ชัดเจน เช่น รูปแบบกรรมวิธีในการเพาะปลูก
ลักษณะของภูมิปัญญาพื้นบ้านที่แสดงออกเป็นรูปธรรมย่อมมีสิ่งที่เป็นนามธรรมสนับสนุนอยู่เบื้องหลังดังนั้นบุคคลจะแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างไรในการประกอบอาชีพ
การดำรงชีวิต หรือพิธีกรรมต่างๆย่อมมีแนวคิดและความเชื่อเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังพฤติการรมนั้น
ๆ |
10. ปราฌัญ จันทร์เป็งผัด รหัส 4568101 |
ความเป็นมาและความหมายของภูมิปัญญาชาวบ้าน
มนุษย์สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยอาศัยภูมิปัญญาของตัวเอง
ภูมิปัญญา(Wisdom) หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน(Popular wisdom) ภูมิปัญญาเกิดจากการสะสมการเรียนรู้เป็นระยะเวลายาวนาน
มีลักษณะเชื่อมโยงกันไปหมดในทุกสาขาวิชา ไม่แยกเป็นแบบรายวิชาที่เราเรียน
ฉะนั้นวิชาที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจอาชีพความเป็นอยู่ เกี่ยวกับการใช้จ่าย เกี่ยวกับการศึกษาวัฒนธรรม
มักจะกลมกลืนเชื่อมโยงกันไปหมด ภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการเกษตร ความเชื่อในกฎเกณฑ์ประเพณีเป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนดั้งเดิมความเชื่อนี้เป็นรากฐานระบบคุณค่าต่าง
ๆ ความกตัญญูรู้คุณต่อ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ความเมตตาเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
ความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติรอบตัวและในสากลจักรวาล |
11.
วิทย์ อนุสศาสนะนันทน์ รหัส 4428134
|
ภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การทำการเกษตรของไทยแต่โบราณมามีลักษณะแฝงไว้ซึ่งความเชื่อในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เล่าสืบต่อและถือปฏิบัติกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ
แต่หากเราได้วิเคราะห์ถึงการปฏิบัติต่างๆของเกษตรกรแล้วจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติดังกล่าวมีลักษณะเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า
เป็นวิธีการที่แยบยลในการสืบทอดภูมิปัญญาสู่ลูกหลาน เอกสารอ้างอิง |
12.
กมล กองคำ รหัส 4528101
|
ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการอนุรักษ์ระบบนิเวศป่า
ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งหมายถึงภูมิปัญญา ซึ่งเกิดจากแนวความคิด ประสบการณ์และการเรียนรู้ของชาวบ้าน แล้วสรุปเป็นบทเรียน, แนวทางในการปฎิบัติหรือแนวทางในการดำเนินชีวิต ภูมิปัญญาดังกล่าวมีทั้งเป็นแนวความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์หรือเป็นลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งจะแสดงออกมาในรูป การประกอบอาชีพ การดำรงชีวิต การทำมาหากิน ประเพณี พิธีกรรมและกฏข้อห้าม ต่างๆ พิธีกรรมแบบอย่างในการอนุรักษ์ป่า จากโครงสร้างดังกล่าว
หมู่บ้านเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและเรียนรู้วัฒนธรรมจากผู้อาวุโส ป่าชุมชนเป็นแหล่งจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต
เช่น เชื้อเพลิง ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค ฯลฯ เป็นแหล่งเลี้ยงสัตว์ของหมู่บ้านและเป็นพื้นที่ของชาวบ้านต้องดูแลรับผิดชอบร่วมกัน
ไร่ นา เป็นแหล่งผลิตผลผลิตทางการเกษตร ให้แก่หมู่บ้าน แนวกันไฟเป็นด่านป้องกัน
มิให้ไฟจากไร่ไหม้ลามเข้าสู่ป่าอนุรักษ์ และขณะเดียวกันก็ป้องกันไฟเข้าสู่ผลิตทางการเกษตรด้วย
แนวกันไฟจึงเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งที่ชาวไทยและชาวเขาคิดสร้างขึ้น |