1 วิทย์ อนุศาสนะนันทน์ |
การเกษตรแบบเน้นผลตอบแทนสูงสุด(
Conventional Agricultural Farming) เป็นการใช้ปัจจัยการผลิตทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด
ซึ่งทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดมาใช้ในการผลิต ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม |
2 ณัฏฐิณี ภัทรกุล |
ปัจจุบันการทำการเกษตรสมัยใหม่ได้เน้นให้ความสำคัญต่อผลผลิตสูงสุดแต่เพียงอย่างเดียว
แม้จะส่งผลทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ แต่หากมองในอีกทางหนึ่งจะพบว่า
การทำการเกษตรที่เน้นแต่ผลลิตสูงสุดนี้ได้ส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมและมนุษย์มากมายเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นผลที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ต่าง ๆ เช่น เครื่องจักรกล
ปุ๋ย สารเคมี รวมถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ถูกต้อง ย่อมส่งผลเสียต่อระบบนิเวศน์มากมายดังจะกล่าวต่อไปนี้ การทำการเกษตรแบบปลูกพืชเดียวมีผลทำให้ระบบนิเวศน์เสียสมดุล ห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดินได้ง่ายเนื่องจากพืชเจริญเติบโตพร้อม ๆ กัน ทำให้ปุ๋ยหรือธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชถูกชะล้างไปด้วย ดังนั้นจึงทำให้ต้องใส่ปุ๋ยในปริมาณมากขึ้นเพื่อเพียงพอต่อการเจริญเติบโต แต่หากการเกษตรเน้นการใส่ปุ๋ยมากจนเกินไปนั้นปุ๋ยที่ใส่อาจเกิดผลเสียได้ เช่น การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนที่มากเกินไปเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ไนเตรตในน้ำใต้ดินเพิ่มขึ้น จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ที่บริโภคน้ำจากใต้ดินได้ เกิดภาวะน้ำเน่าเสีย เนื่องจากไนโตรเจนที่มีในน้ำมาก ๆ จะไปเร่งการเจริญเติบโตของสาหร่ายและพืชน้ำอื่น ๆ ทำให้ขาดออกซิเจนขึ้นในแหล่งน้ำ นอกจากนี้หากมีไนโตรเจนในปริมาณสูงยังเกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้โลกร้อนขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าปุ๋ยฟอสฟอรัสที่ใส่ลงไปในดินจะสะสมอยู่ในชั้นดินบน เมื่อเกิดการชะล้างพังทลายและถูกพัดพาไปสู่แหล่งน้ำก็จะเกิดปัญหาขาดออกซิเจนเช่นเดียวกัน เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ การทำการเกษตรในปัจจุบันเน้นการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและแมลงจำนวนมากขึ้นเพื่อทำให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อเกษตรกรผู้ผลิต ผู้บริโภค และยังมีผลกระทบในระยะยาว ทำให้สมดุลทางสภาพธรรมชาติสูญเสียไป ทำให้ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นตามมา เช่น ในกรณีของแมลงศัตรูพืชเกิดอาการต้านทานสารเคมีหรือดื้อยา เพราะการพ่นยาพร่ำเพรื่อทำให้แมลงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้น ดังนั้นจึงต้องเพิ่มความเข้มข้นหรือพ่นสารเคมีบ่อยขึ้น ยิ่งทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น นอกจากนี้การพ่นสารเคมีมาก ๆ ยังทำให้แมลงที่เป็นประโยชน์ เช่น ตัวห้ำ ตัวเบียน ที่เป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยควบคุมประชากรแมลงศัตรูพืชไม่ให้มากเกินสมดุล การเสียสมดุลทางธรรมชาติเปิดโอกาสให้ศัตรูพืชระบาดมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในดินที่มีประโยชน์ต่อการย่อยสลายอินทรียวัตถุและมีประโยชน์ต่อการบำรุงดิน ส่วนผลกระทบที่เกิดจากผลผลิตที่มีสารพิษตกค้างทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค และที่สำคัญส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในด้านสินค้าส่งออก ทำให้ต่างประเทศไม่ยอมรับสินค้าของประเทศไทย นอกจากนี้การใช้เครื่องจักรกลต่าง ๆ ในการเกษตรก็ส่งผลเสียมากมายทั้งผลกระทบต่อการเกษตรและต่อสภาพแวดล้อม เช่น ได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ นอกจากนั้นการใช้เครื่องจักรในแปลงบางชนิดยังส่งผลให้เกิดการอัดแน่นของหน้าดิน ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ทั้งการเจริญของรากและการดูดซึมแร่ธาตุอาหารต่าง ๆ การถ่ายเทอากาศและน้ำในดินไม่ดี จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การทำการเกษตรสมัยใหม่ที่ต้องการให้ได้ผลผลิตสูงสุดเพียงอย่างเดียวนี้ได้ส่งผลเสียมากมาย เช่น ส่งผลเสียต่อสุขภาพเกษตรกร ผู้บริโภคได้รับสารพิษทั้งทางตรงและทางอ้อม ห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมขึ้น เป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรตระหนักถึงผลเสียที่ตามมาเหล่านี้ ซึ่งควรจะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการปลูกใหม่ โดยเปลี่ยนจากการปลูกเพื่อ Maximum Yield ไปเป็น Optimum Yield จะช่วยทำให้ผลเสียต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นน้อยลง และระบบนิเวศน์ก็จะมีความสมดุลมากขึ้น โดยควรเน้นการพึ่งพาธรรมชาติควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ |
3 จิราวัฒน์ ปัญญาเทียม |
การปฏิบัติการทำลายผิวหน้าดินอันเนื่องมาจาก
การลงทุนใช้เครื่องจักรเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกพืชโดยตรง การไม่ใช้การทำลายผิวหน้าดินจะช่วยประหยัดแรงงานและค่าเชื้อเพลิงลงในแต่ละปี
ไม่มีความจำเป็นที่จะทำลายหน้าดินก่อนการเพาะปลูกสามารถประหยัดเงินและค่าเชื้อเพลิงจะช่วยลดค่าใช้จ่าย
การปลูกโดยตรงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการใช้เครื่องจักรในการทำลายผิวหน้าดินก่อน การปลูกในปัจจุบัน การทำลายผิวหน้าดินจะเพิ่มค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่นค่าเชื้อเพลิง ค่าแรงงาน ซึ่งเทียบกับวิธีอนุรักษ์หน้าดินในบ้างครั้งไม่จำเป็นต้องถากถางหรือปรับปรุงหน้าดินบ้างส่วนดังนั้นเกษตรกรควรเลิกทำลายหน้าดิน ในบางประเทศรัฐบาลจะส่งเสริมให้เกษตรกรเลิกทำลายหน้าดินเพื่อลดการสูญเสียในชั้นผิวหน้าดิน ผลผลิตของพืชที่ได้จากดินที่เสื่อมโทรมจะมีผลผลิตน้อยกว่าดินที่อุดมสมบูรณ์เพราะดินที่เสื่อมโทรมจะมีการสูญเสียแร่ธาตุอาหารในดิน น้ำ และจุลินทรีย์ในดินที่เป็นประโยชน์สำหรับการปลูกพืช แหล่งทรัพยากรของน้ำลดลงเนื่องจากการเสื่อมโทรมของดินด้วยการใช้ปุ๋ยปริมาณมาก การใช้ยาฆ่าแมลง การชลประทานที่ผิดวิธีทำให้เกิดการเสื่อมลงของหน้าดินทำให้เกิดมลพิษ ปัญหาด้านสุขภาพ ทำลายสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ และการใช้เชื้อเพลิงในปริมาณที่สูงขึ้นทำให้ระบบการเกษตรไม่ยั่งยืน การเกษตรในปัจจุบันจะทำลายสภาพแวดล้อมรวมถึงการเผาซากพืชหลังจากการเก็บเกี่ยว เช่น ตอซังข้าว เพื่อควบคุมวัชพืชและการหยอดเมล็ดในแนวนอนหลังจากควรพิจารณาการเปลี่ยนแปลงรูปแบบดินจากการอัดตัวแน่นของดิน การสูญเสียจากการปนเปื้อนของตะกอน ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในแหล่งน้ำ และจะทำให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ จะทำให้โลกร้อนขึ้น และลดการทำการเกษตรแบบยั่งยืนจะทำได้น้อยลง |
4 สยาม กันธา |
การทำการเกษตรแบบไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
มีผลกระทบต่างๆ อย่างมากมายต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปุ๋ย
การใช้ยาฆ่าแมลง การใช้ยากำจัดวัชพืช การเขตกรรมที่ไม่ถูกวิธี การให้น้ำแก่พืช
ผลกระทบต่อการเกษตรเช่นการใส่ปุ๋ยมากหรือมีการใช้ปุ๋ยเคมีเป็นจำนวนมาก มีผลกระทบหลายด้าน เช่นดินจะมีการจับตัวกันแน่นขึ้น ปุ๋ยที่ตกค้างในดินจะมีการชะล้างลงสู่แม่น้ำทำให้เกิดมลพิษต่อปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ คือจะทำให้มีการสะสมสารตกค้างในสิ่งมีชีวิตและอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่บริโภคต่อไป โดยปุ๋ยประเภทฟอสเฟตจะมีผลมากต่อพวก จอก แหนและพวกตะใคร่น้ำเมื่อพวกนี้ได้รับฟอสเฟตที่ชะล้างลงสู่แม่น้ำจะทำให้พวกนี้เจริญเติบโตได้ดีและรวดเร็วอาจจะทำให้เกิดการปกคลุมผิวน้ำเป็นจำนวนมากทำให้แสงไม่สามารถส่องลงไปในน้ำได้ดีอาจทำให้น้ำเน่าเสียได้เนื่องจากแบคทีเรียพวกที่ไม่ไช่ออกชิเจนปล่อยสารพิษออกมา การใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมากเกินไปอาจมีผลกระทบต่อพืชที่ปลูกในปีถัดไป คือปุ๋ยเคมีจะทำให้ดินเป็นกรดทำให้ความสามารถในการดูดซึมธาตุอาการของพืชบางชนิดลดลงน้อยลงและอาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของเบคทีเรียบางชนิดในดินที่เป็นประโยชน์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้หรือเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ในดินที่เป็นกรด การใช้ยากำจัดวัชพืชมากเกินไป มีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อ คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากยากำจัดวัชพืชเป็นสารพิษและมีผลตกค้างยาวนาน ยากำจัดวัชพืชบางประเภทมีพิษรุนแรงและได้มีการประกาศไม่ให้มีการนำมาใช้เช่น ทูโพว์ไพว์ที (2,4,5-t) ซึ่งมีผลกระทบมาก ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยและพิการได้ในคนและสัตว์ และยังมีผลพืชปลูกได้เช่นอาจมีการชักนำให้เกิดการ กลายพันธุ์ได้ มีผลต่อพืชปลูกอาจทำให้มีการเจริญผิดปกติผลผลิตลดลงได้ถ้าหากมีการชะล้างลงสู่แม่น้ำมีผลกระทบต่อสัตว์น้ำอาจทำให้สัตว์น้ำมีการสะสมสารพิษและเป็นอันตรายต่อคนที่นำสัตว์น้ำนำมาบริโภค ยาฆ่าแมลงก็มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ ยาฆ่าแมลงที่มีระยะเวลาในการสลายตัวนานจะมีผลกระต่อสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลายาวนาน ถ้ามีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมอาจทำให้เกิดอันตรายเป็นอย่างมากต่อ สิ่งแวดล้อม คน เช่นในการใช้ยาฆ่าแมลงในสวนส้มในปัจจุปันมีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมากทำให้คนที่ทำงานในสวนส้มมีอายุสั้นขึ้นเนื่องจากได้รับสารพิษเป็นจำนวนมาก มีผลกระทบต่อแมลงที่เป็นตัวห้ำตัวเบียนอาศัยอยู่ มีการชะล้างของสารพิษลงสู่แหล่งน้ำ และยังมีการปลิวหรือมีการแพร่กระจายสู่ชุมชนเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก ในพืชผลที่มีการส่งออก ถ้าหากมีการปนเปื้อนของสารเคมีพวกนี้อาจจะทำให้เกิดความเสียหายในทางเศรษฐกิจได้ ในการเขตกรรมในปัจจุบันได้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าเป็นจำนวนมากทำให้พื้นที่ป่าลดลง ทำให้มีการชะล้างของหน้าดินทำให้ดินสูญเสียหน้าดินไป หรือในการทำการเกษตรโดยที่มีการไถพรวนมากเกินไปอาจทำให้ดินละเอียดเกาะตัวกันแน่นขึ้นทำให้การไหลผ่านของน้ำหรืออากาศผ่านได้ยากมากขึ้น การปลูกพืชชนิดเดียวกันติดต่อกันไปโดยไม่มีการสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนอาจจะทำให้มีการระบาดของโรคและแมลงเพิ่มมากขึ้น ในการให้น้ำหรือการชลประทานเพื่อการเกษตรอาจจะทำให้เกิดมลพิษได้เช่น น้ำที่เก็บหรือกักไว้อ่างเก็บกักน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรหรือใช้ในนาข้าว บางส่วนก็จะหาทางไหลกลับไปสู่แหล่งน้ำที่ต่ำกว่า หรือคลองระบายน้ำ ทำให้น้ำเหล่านี้เกิดปัญหามลพิษได้เพราะน้ำมีคุณภาพต่างไปจากเดิม อาจมีสารพิษตกค้างของยาฆ่าแมลง หรือไม่ก็อาจมีการนำพาปุ๋ยติดมาด้วยซึ่งจะเป็นอันตรายต่อ คน สัตว์และสิ่งแวดล้อมด้วย |
5 ชุติมา สุรีพิทักษ์ |
การใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร
เพื่อก่อให้เกิดผลกำไรสูงสุด ทั้งในด้านการเพาะปลูก โดยเริ่มตั้งแต่การปรับพื้นที่
การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก การใช้สารเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิตพืช ได้แก่ ยาปราบศัตรูพืชและปุ๋ยเคมี
การชลประทานเพื่อการเกษตร และด้านการเลี้ยงสัตว์ โดยไม่มีการวางแผนที่ดี
ทำให้ความสมดุลของระบบนิเวศน์ เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ การปรับพื้นที่และการเตรียมพื้นที่ปลูก มีผลต่อองค์ประกอบของดิน เช่นอินทรีย์วัตถุ น้ำและ อากาศในดิน ซึ่งในสภาพปกติจุลินทรีย์ในดินจะเป็นตัวการในการทำให้ดินร่วนซุยและอ่อนนุ่ม รวมทั้งให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ดิน เมื่อพืชหยั่งรากลึกลงไปนั้นอากาศและน้ำก็จะติดตามไปด้วย และเมื่อพืชตายไป จุลินทรีย์ก็จะทำการย่อยสลาย ซึ่งหมายถึงการเพิ่มปริมาณของฮิวมัส และโดยเฉพาะไส้เดือนจะเป็นผู้ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุยได้เป็นอย่างดี โดยโครงสร้างของดินถูกทำลาย เนื่องจากการไถพรวนที่ผิดวิธี โครงสร้างดินมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช และการทำงานของสิ่งมีชีวิตในดิน เช่น หากอนุภาคดินจับกันเป็นชั้นแข็ง เนื่องจากอนุภาคดินมีขนาดเล็กลงและเข้าไปอุดตามช่องอากาศเล็กๆเหล่านั้น ต้นกล้าที่งอกจากเมล็ดที่ปลูกไว้ก็จะโผล่พ้นดินได้ยาก การกระจายของรากลดลง หรือรากตื้น หรือมีการแผ่ขยายในแนวนอนมากกว่าจะหยั่งลึกลงไป กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ของจุลินทรีย์ดินก็จะลดลงตามไปด้วย สารเคมีที่นำมาผลิตยาปราบศัตรูพืชมีมากถึง 1,500 ชนิดซึ่งผสมเป็นสูตรต่างๆถึง 60,000 สูตร แบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ยาฆ่าหนู และยาฆ่าเชื้อรา เช่น DDT, Dieldrin, Endrin และ Lindane เป็นต้น ได้ถูกนำมารดและฉีดให้กับพืช ยาฆ่าแมลงประเภทนี้ถูกย่อยสลายได้ยากจึงมีความเป็นพิษตกค้างได้นาน และสามารถปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำได้จากการชะล้างโดย ฝน เกิดมลพิษทางน้ำ ผู้บริโภคก็สามารถรับสารพิษเหล่านี้ได้โดยตรงจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนยาปราบศัตรูพืช โดยเมื่อสารเคมีเหล่านี้ได้เข้าสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตก็จะเกิดการสะสมขึ้นทีละน้อย จนเป็นอันตรายต่อชีวิต นอกจากนี้ยังเป็นการทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ โดยแมลงศัตรูพืชทุกชนิดจะมีแมลงบางชนิดที่เป็นศัตรู ซึ่งจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของแมลงศัตรูพืชโดยการกินโดยตรง (ตัวห้ำ) และการเข้าไปอาศัยอยู่ในตัวศัตรูพืช (ตัวเบียน) แม้ว่าแมลงจะสามารถปรับตัวให้ต้านทานสารเคมีได้ แต่ปัญหาที่พบคือ ศัตรูพืชจะสามารถปรับตัวให้ต้านทานได้เร็วกว่าตัวห้ำ ทำให้จำนวนศัตรูพืชเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการศึกษาพบว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2001 ประเทศต่างๆมากกว่า 120 ประเทศ ได้ลงนามในข้อตกลงประวัติศาสตร์ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะขจัดสารเคมีอันตรายร้ายแรงที่สุดในโลกบางชนิดออกไป อนุสัญญาสต๊อกโฮล์มว่าด้วยมลพิษตกค้างยาวนาน (The Stockholm Convention on Persistent Organic Pollutants-POPs) ถือเป็นการบรรลุจุดสุดยอดในความพยายามที่จะห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีรายชื่อทั้ง 12 ชนิด ซึ่งรวมไปถึงยาฆ่าแมลงอย่างอัลดริน เอ็ดดริน ท๊อกซาเฟน คลอแดน ดีลดริน เฮ็พตาคลอร์ มิเร็กซ์ และดีดีที เป็นที่ทราบกันดีว่า มลพิษตกค้างยาวนานนั้นคงสภาพอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ยาวนาน และสามารถแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ได้ไกลจากแหล่งกำเนิดดั้งเดิมมาก พบว่าอาจสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารและมีแนวโน้มที่จะสะสมอยู่ในไขมันในร่างกายมนุษย์และสัตว์ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการส่งผ่านสารเคมีเหล่านี้ไปยังลูกหลานของทั้งมนุษย์และสัตว์โดยผ่านทางน้ำนม มลพิษตกค้างยาวนานเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงด้านสุขภาพของมนุษย์ และยังก่อให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิดอีกด้วย ปัญหาอื่นๆที่กี่ยวข้องกับการเกิดมลพิษตกค้างยาวนานก็รวมไปถึงความผิดปรกติในกระบวนการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ความผิดปรกติทางการเรียนรู้ และลดภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ มลพิษตกค้างยาวนานโดยเฉพาะไดอ๊อกซินอาจไม่มีความปลอดภัยเพียงพอในการต้านพิษ หากมีการแพร่กระจายของสารเหล่านี้แม้ในปริมาณที่น้อย ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นพิษได้ โดยเฉพาะถ้าเกิดปฎิกริยากับสารเคมีอื่นๆ การใช้ปุ๋ยเคมี ที่มีส่วนประกอบของไนโตรเจนและฟอสฟอรัส เพื่อเป็นธาตุอาหารของพืช ถ้าใช้มากเกินไป เมื่อมีการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้น้ำมีธาตุอาหารมากเกินไป (eutrophication) ทำให้แพลงค์ตอนพืชมีการเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ส่งผลให้ออกซิเจนในน้ำลดลงใน ทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำชนิดอื่นได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากเกิดการแก่งแย่งออกซิเจนกันขึ้น นอกจากนี้ การใส่ปุ๋ยเคมีจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในดิน เนื่องจากจะทำให้ดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมอย่างยากลำบากและตายไปในที่สุด การใส่ปุ๋ยเคมีที่มากเกินไปจะทำให้ดินอยู่ในสภาพที่เป็นกรดสูง จากการได้รับกรดซัลฟูริคที่มาในรูปของแอมโมเนียมซัลเฟต ซุปเปอร์ฟอสเฟต และโปรแทสเซียม จะไปทำลายจุลินทรีย์ในดิน ดินแข็งและแน่นมากขึ้น สำหรับเกษตรกรแล้วอาจกล่าวได้ว่า มีการใช้ปุ๋ยเคมีเกินความจำเป็นอยู่มากเพราะยังคิดว่าการใส่ปุ๋ยให้ประโยชน์มากกว่าไม่ได้ใส่อะไรเลย ดังนั้นเกษตรกรจึงยังคงสูยเสียเงินไปกับการซื้อปุ๋ยเป็นจำนวนมาก เพื่อบำรุงดิน น้ำที่ได้จากการชลประทาน เพื่อใช้ในการเกษตร เช่นการทำนา เลี้ยงพืชผัก เมื่อถูกนำไปใช้แล้วบางส่วนก็จะไหลกลับลงสู่แหล่งน้ำที่ต่ำกว่า นั่นคือคลองระบายน้ำ เรียกว่า น้ำชลประทานไหลกลับ (irrigation return flow) คุณภาพที่ได้อาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากมีพิษตกค้างของสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรปนเปื้อนมาด้วย การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม เพื่อให้สามารถผลิตได้สูงสุด เช่น การเลี้ยงไก่รวมกันอย่างหนาแน่น ไก่จะได้รับการกำจัดโรคต่างๆที่เกิดขึ้น ได้รับยาอย่างต่อเนื่องและได้รับอาหารอย่างดีเพื่อเร่งการเจริญเติบโต วัว สุกร กุ้งที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัวและมีการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ที่ป่วย สัตว์เหล่านี้ถูกกำหนดวงจรชีวิต สูญเสียลักษณะการดำเนินชีวิตตามสภาพธรรมชาติไป สัตว์เกิดความเครียดและอ่อนแอ และเมื่อนำไปบริโภคพบว่ามีสารตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ เกิดผลเสียต่อผู้บริโภคได้ |
6 ปราฌัญ จันทร์เป็งผัด |
ผลของ Conventional agriculture ที่มีผลต่อระบบนิเวศวิทยา ในที่นี้จะกล่าวถึงผลกระทบของยาฆ่าแมลงที่มีต่อความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ยาฆ่าแมลงมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่โดยทั่วไป แตกต่างกันไปมากมายหลายระดับ ทำให้ตายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม หรืออาจจะไม่ตาย ซึ่งในตอนนี้มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่ายาฆ่าแมลงมีศักยภาพที่จะทำให้ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบันลดจำนวนลงได้ ผลกระทบของยาฆ่าแมลงที่มีต่อความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต 2. ผลกระทบโดยตรง ยาฆ่าแมลง bioaccumulative
organochlorine (เช่น DDT) ยกตัวอย่างเช่น, carbamate insecticides ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทของแมลงและยังมีผลต่อนก,
ปลา, ผึ้ง, และสัตว์อื่นๆ (*EPA).นกจะได้รับยาฆ่าแมลงเป็นฝุ่นผง หรือกินอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมี
(Boutin et al., 1999).เพราะว่านกมากมายมีชีวิตและอาศัยอยู่รอบๆฟาร์ม นกอยู่ไม่ค่อยเป็นหลักแหล่งโดยเฉพาะในสวนแอปเปิลหรือสวนผลไม้เพราะว่าความเป็นพิษ
ของทางเคมีใช้และจำนวนครั้งที่ใช้ในแต่ละฤดูสูงถึง10-12 ต่อฤดู (Boutin
et al., 1999). ส่วนใหญ่ carbamates และorganophosphates มักถูกใช้ในสวนผลไม้ซึ่งเป็นพิษต่อนก
(Boutin et al., 1999). 4. ผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร Berenzen, N. et al. 2000. Information system for the ecotoxicological evaluation of surface water quality regarding pesticide input from agriculture. Limnology and Ecotoxicology Department - Technical University Braunsweig. http://www.tu-bs.de/institute/zoology/limnology/limnology.htm Boutin, C., K.E. Freemark, and D.A. Kirk. 1999. Farmland birds in Southern Ontario: field use, activity patterns and vulnerability to pesticide use. Agriculture, Ecosystems and Environment 72:239-254. Colborn, T. and C. Clement, eds. 1992. Chemically-Induced Alterations in Sexual and Functional Development: The Wildlife Connection. Princeton Scientific Publishing: New Jersey. http://www.worldwildlife.org/toxics/progareas/ed/con_1.htm Rolland, R., M. Gilbertson and T. Colborn, eds. 1995. Environmentally induced alterations in development: a focus on wildlife.Environment Health Perspectives 103, Suppl. 4: 3-5. www.worldwildlife.org/toxics/progareas/ed/con_2.htm WWF. 1999. Beneficial
bugs at risk from pesticides. Site is for a printed document. Available
at http://www.neteffect.ca/pesticides/resources/bugs-at-risk.pdf
|
7 ชนิดา แทนธานี |
ในช่วงระยะ 30 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่เริ่มมีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การเกษตรของประเทศไทยได้ถูกผลักดันเข้าสู่ระบบเกษตรกรรมแผนใหม่
ซึ่งเน้นเป้าหมายไปที่ระบบธุรกิจการค้าสนับสนุนการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวเป็นหลักมีการนำเอาเทคโนโลยีทางการเกษตรใหม่
ๆ เข้ามาใช้แทนแรงงานคนและแรงงานสัตว์ อีกทั้งมีการนำเข้าปุ๋ยเคมีและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเข้ามาใช้อย่างแพร่หลาย
เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มผลผลิตตอบสนองความต้องการของตลาด และเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรนั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในขณะที่การพัฒนาการเกษตรดำเนินไปอย่างรวดเร็วภายใต้อิทธิพลของระบบเกษตรกรรมแผนใหม่
ได้ก่อให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ดังเช่น
มีการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนำให้เกิดปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วม
แผ่นดินถล่ม เกิดปัญหาการเสื่อมโทรมของความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปัญหาสารเคมีตกค้างในสิ่งแวดล้อม
เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ปัญหาความยากจนและหนี้สิน ปัญหาความล้มเหลวของชุมชนและระบบวัฒนธรรมรวมทั้งเกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของเกษตกรและของผู้บริโภค
อารันต์ พัฒโนทัยได้สรุปปัญหาซึ่งเป็นผลมาจากระบบเกษตรกรรมในช่วงที่ผ่านมาได้เป็น 3 หัวข้อใหญ่ ๆ ดังนี้ 1. การเสื่อมโทรมและสูญเสียของทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ การเสื่อมโทรมของดิน การลดลงของปริมาณน้ำ การสูญเสียป่าไม้ การสูญเสียแหล่งพันธุกรรม การสูญเสียแหล่งพลังงาน 2. สารเคมีที่ใช้ในการเกษตรก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อม 3. การเกษตรสมัยใหม่ทำลายสังคมชนบท ซึ่งโดยสรุปแล้วสาเหตุที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้วิธีปฏิบัติที่ส่งผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเพราะสถานการณ์ชักจูงหรือบีบบังคับสถานการณ์นั้นได้แก่ ความไม่รู้ถึงผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม (อาจมาจากคำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรือมีการใช้ปัจจัยบางอย่างเกินอัตรา)ทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะใช้วิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น ดังนั้นจึงเกิดแนวคิดในการพัฒนาระบบการเกษตรไปในแนวทางใหม่ คือ ระบบเกษตรกรรมทางเลือกที่มีการปรับรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องและฟื้นฟูระบบนิเวศใช้ปัจจัยการผลิตต่ำ หลีกเลี่ยงหรือเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันระบบการเกษตรที่จัดอยู่ในระบบเกษตรกรรมทางเลือกมีด้วยกัน
3 ประเภท คือ |
8 Cuong Viet Ngo |
1 - INTRODUCTION:
As we know that
agricultural production is one of important activities in human society,
its task is to produce food and related products to serve for human's
needs. Conventional agriculture has existed in many decades and it has
been maintaining and providing these in a certain level with intensified
chemical fertilizers, pesticides
2 - Conventional agriculture' impacts on environment and human society. In order to understand
these, firstly we go together to understand about conventional agriculture's
impacts on environment. Organism groups
Country Biological diversity Results Source Table 2: Biological diversity on ecological and conventional farms. Part B: Invertebrates. 100% represents value of conventional farm. Organism groups
Country Biological diversity Results Source Table 3: Biological diversity on ecological and conventional farms. Part C: Birds. 100% represents value of conventional farm. Organism groups
Country Biological diversity Results Source - Besides above problems, we know that conventional agriculture has some other direct impacts on the environment include modification of land for agricultural purposes and byproducts of production such as methane released by rice paddies and livestock. Activities such as food processing, distribution, and preparation use fossil fuels, fuelwood, refrigerants, and other inputs and generate wastes. Indirect impacts include the effects of energy, materials, and pollution entailed in constructing and maintaining equipment, transportation and storage facilities, and other infrastructure used in food production, fisheries, and related activities, and in supporting the populations involved in them. III - CONCLUSION: - From above problems,
we know that conventional agriculture can bring a high yield with conventional
way to do, but it also has many negative impacts on environment and
human society. So in order to solve and restrict these negative impacts,
we need apply new solutions to agriculture production. They can be the
use of compost, manure
to take the place of chemical fertilizers, application
of integrated pest management, biological pesticides (derris dust, pyrethrum,
rotenone - the active ingredient is short-lasting), insect trapping
by the use of lures such as pheromones, biological control methods to
take the place of pesticide. IV - REFERENCES: Kevin Morgan and
Jonathan Murdoch. 2000. Organic vs. conventional agriculture: knowledge,
power and innovation in the food chain. Geoforum. 31: 159-173. |
9 กมล กองคำ |
แนวความคิดที่จะทำการเกษตรให้ได้ผลผลิตมาก
และผลกระทบต่อปัจจัยต่างๆ
แนวความคิดที่จะทำการเกษตรให้ได้ผลผลิตมากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่เหมาะสมนั้น จะทำให้เกิดผลเสียอย่างมาก ต่อสภาพแวดล้อม และระบบนิเวศน์ทางการเกษตรในระยะเวลาต่อมา ดังนี้คือ 1. การสูญหายหรือสูญเสียแหล่งพันธุกรรม
(genetic erosion) ลักษณะพันธุ์พืชที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน
ได้แก่การสร้างสายพันธุ์ให้มีพื้นฐานทางพันธุแคบ
จากการการขยายพื้นที่เพาะปลูก และการเลี้ยงสัตว์ไปยังพื้นที่ที่ไม่เคยปลูกพืชมาก่อน ทำให้มีการทำลายพันธุ์พืชป่าชนิดต่างๆ แบบโดยไม่ได้ตั่งใจทำให้แหล่งพันธุกรรมของพืชต่างๆ ลดน้อยลงไป 2. การชะล้างผิวหน้าดิน
และผลกระทบต่อดิน (Soil Erosion and Soil Effect) ในการทำการเกษตรในพื้นที่ลาดชัน และสภาพดินที่เป็นดินเหนียวหรือดินที่มีขนาดของเมล็ดดินละเอียด การจัดระบบการปลูกพืชที่เหมาะสมบนพื้นที่ลาดชัน จะทำให้เกิด water run off ทำให้เกิดการชะล้างของหน้าผิวดิน (soil erosion) ทำให้เกิดการสูญเสียหน้าดิน รวบทั้งดินที่ถูกพัดพาไปสู่แหล่งน้ำจะทำให้เกิดการตื้นเขินของแหล่งน้ำต่างทำให้เกิดปัญหาต่อระบบชลประทานอีกด้วย ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินได้แนะนำวิธีการป้องกันการพังทะลายของหน้าดินได้แก่ การจัดระบบการปลูกพืชที่เหมาะสมบนพื้นที่ลาดชัน เช่นการปลูกพืชสลับ (alley cropping) ปรับพื้นที่ปลูกเป็นแนวระดับและทำแปลงแบบขั้นบันได ซึ่งวิธีดังกล่าวนี้ได้ทำสำเร็จแล้วในประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงเกษตรกรของหมู่เกาะชวาในประเทศอินโดนีเชีย ในประเทศไทยนั้นได้นำหญ้าแฝกมาใช้ปลูกเพื่อป้องกันการพังทะลายของดินตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาการพังทลายของหน้าดินได้อย่างดี ลมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการชะล้างผิวหน้าดิน (soil erosion) ได้ ถ้าหากว่าพื้นที่ดินนั้นมีบริเวณกว้างเปิดโล่ง มีลมพัดแรง เม็ดดินมีขนาดเล็ก ไม่มีการปลูกพืชคลุมดินหรือปลูกไม้กันลม ปรากฏการณ์ของการชะผิวดินโดยลมนี้จะเกิดในพื้นที่แห้งแล้ง หรือพื้นที่ที่เกิดความแห้งแล้งติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน เช่นในพื้นที่ในเขตแห้งแล้งของรัฐต่างๆ ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอเมริกาเป็นต้น ซึ่งการป้องกันการชะล้างผิวหน้าดินจากลม (soil erosion) อาจทำได้โดยวิธีการต่างๆ เช่นปลูกไม้กันลม ปลูกพืชที่สามารถปรับตัวเข้ากับเขตแห้งแล้งได้ดี เช่น มีลักษณะการงอกเป็นต้นอ่อนได้เร็ว มีใบขนาดใหญ่แผ่กว้างคลุมดิน ให้ซากพืชมากหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ซึ่งซากพืชจะช่วยปกคลุมผิวหน้าดินป้องกันไม่ให้ลมสัมผัสกับผิวดินโดยตรงได้ วิธีการเขตกรรมแบบ minimum หรือ Zero tillage โดยไม่มีการไถพรวนดิน การแนะนำให้มีการปลูกพืชระบบ fallow cultivation system ในเขตแห้งแล้งทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอเมริกาก็เป็นวีธีหนึ่งที่ช่วยลด soil erosion โดยลมได้ผลดีเช่นกัน (Triplett} 1978) 3. มลพิษของน้ำ
(Water Pollution) 4. มลพิษของบรรยากาศ
(Atmospheric Pollution) 5. การใช้ไฟในการเพิ่มผลผลิต
และผลกระทบของไฟ (Use of Fire to Improve Yield and Effects of Fire) ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการปลูกหญ้าเพื่อผลผลิตเมล็ดพันธุ์ หรือทำหญ้าแห้งสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์ ได้ใช้วิธีการเผาแปลงทุ่งหญ้า ซึ่งช่วยให้หญ้าที่ปลูกมีการเจริญเติบโตเร็วยิ่งขึ้น หลังไฟไหม้แปลงหญ้าแล้ว ต้นหรือหน่ออ่อนที่ขึ้นมาจะถูกใจหรือสัตว์เลี้ยงกินอร่อย มีการแข่งขันของวัชพืชน้อยลง และช่วยควบคุมโรค และแมลงที่ระบาดให้ลดน้อยลง อย่างไรก็ตามการใช้ปัจจัยไฟกำจัดซากพืช
(crop residues) ในแปลงปลูกพืชหรือแปลงหญ้าโดยกระทำอย่างต่อเนื่องและขาดหลักวิชาการ
จะให้โทษบางประการ เช่น 6. ผลกระทบต่อปัจจัยของสิ่งมีชีวิต
(Effect of Biotic Factor) 7. ผลกระทบต่อปัจจัยอื่นๆ |
10 อัตถ์ อัจฉริยมนตรี |
นับตั้งแต่สมัยโบราณที่มนุษย์รู้จักการทำการเกษตรทำการเพาะปลูก
และสะสมพืชไว้ใช้ในชุมชนครอบครัวเรื่อยมาจนถึงการทำเกษตรเพื่อขายและต้องการผลผลิตสูงสุดเพื่อที่จะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่สูงเช่นเดียวกัน
ทำให้เกษตรกรจำเป็นต้องทำการเขตกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สูญเสียผลผลิตน้อยที่สุด
ในการทำเกษตรสมัยใหม่ (Modern Agricultural Practices) ประสบผลสำเร็จเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลกเป็นผลทำให้ความต้องการบริโภคผลผลิตทางการเกษตรเพื่มขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะพืชไร่ที่เป็นอาหารหลักของประชากรโลก
(Staple Crops) เช่น ข้าว, ข้าวโพด และมันฝรั่งเป็นต้น จากสถานการณ์นี้การทำการเกษตรสมัยใหม่ทำให้ต้องพึงพาเทคโนโลยีในการผลิต และการจัดการฟาร์มมากยิ่งขึ้น เช่นการพัฒนาสายพันธุ์พืชใหม่โดยการปรับปรุงพันธุ์ให้มีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะปลูกในพื้นที่ขนาดเล็กก็ตาม หรือ เป็นการจัดการระยะเวลาในการใส่ปุ๋ย และฉีดพ่นสารเคมี รวมทั้งระบบการชลประทานที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ลดการสูญเสียผลผลิต และเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นแต่ในทางกลับกัน กลายเป็นการทำลายระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในธรรมชาติอย่างมาก โดยทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ความหลายหลายทางพันธุกรรม และใช้ทรัพยากรที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้นั่นคือพลังงานเชื้อเพลิงต่าง ๆ โดยสรุปแล้วการเกษตรสมัยใหม่นี้ไม่มีความยั่งยืนซึ่งในระยะยาวการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงชาวโลกอาจไม่ต่อเนื่อง และลดลงไปเรื่อย ๆ จนขาดแคลนในที่สุด Conventional Agriculture เกี่ยวข้องกันกับจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ ผลิตให้มาก และทำให้ได้กำไรสูงที่สุด (Maximization of Production & Maximization of Profit) ในการเกษตรแบบนี้ไม่ได้พิจารณาในพลวัตของระบบนิเวศเกษตร และนิเวศวิทยา จาก Gliessman, 1998 ได้แบ่งการปฏิบัติการเขตกรรมของระบบ Conventional ออกเป็น 6 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ 1. Intensive tillage
(การใช้เครื่องจักกรเกษตรในการไถพรวนดิน) 2. Monoculture
(การปลูกพืชชนิดเดียว) 2. Waste and Overuse
of Water (การใช้น้ำที่เสียเปล่า และเกินความจำเป็น) 3. Pollution of
the Environment (มลพิษ และสภาพสิ่งแวดล้อม) 4. Dependence on
External Inputs (การพึ่งพาปัจจัยการผลิตภายนอก) |
11 จักรกฤษณ์ ขันทอง |
การทำการเกษตรให้มีผลผลิตที่สูงสุดนั้นสามารถทำได้โดยมีการจัดการที่ดี
การใส่ปุ๋ย การใส่ยาปราบวัชพืชและการใส่ยาปราบแมลงศัตรูพืชซึ่งเป็นการเกษตรสมัยใหม่(Modern
farming) การเกษตรสมัยใหม่นั้น สามารถทำให้พืชปลูกได้ผลผลิตที่สูง โดยได้จากแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเพียงพอ การปลูกพืชในปัจจัยแวดล้อมที่มีความจำเพาะเจาะจงหรือเป็นสภาพแวดล้อมที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดเพื่อความเหมาะสมของพืชปลูกแต่ละชนิด แต่การเกษตรสมัยใหม่นี้ไม่เป็นผลดีต่อระบบนิเวศวิทยาในระยะยาวเนื่องจากเกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างไม่คุ้มค่าก่อให้เกิด การเสื่อมของสภาพแวดล้อม เช่น การกร่อนของดิน ปัญหาสภาพการเป็นพิษ ซึ่งเกิดจากการใช้สารกำจัดวัชพืช และแมลง ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อความสมดุลในระบบนิเวศวิทยา การเกษตรสมัยใหม่นั้นส่งผลในระดับผู้บริโภคทั้งในด้านสังคม และด้านสุขภาพ ในด้านสังคมนั้นจะเห็นได้ว่าการเกษตรสมัยใหม่นั้น จะเป็นไปในรูปแบบของธุรกิจมากกว่าการทำการเกษตรเพื่อการดำรงชีวิต ทำให้การเกษตรในรูปแบบ family farm นั้นหายไป การทำการเกษตรในระบบครอบครัว แบบพอมีพอกินนั้นได้ลดลงไปตามยุคสมัย และเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับการเกษตรซึ่งการนำเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคนนั้นทำให้ระบบการผลิตมีคุณภาพมากขึ้นแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยตรงเช่นกัน และในด้านสุขภาพนั้นจะเห็นได้ว่าพืชผักในปัจจุบันนี้มีสารพิษตกค้างค่อนค้างมากซึ่งเกิดจากการที่เกษตรกรใช้สารกำจัดวัชพืช และแมลงในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ซึ่งหากมีการสะสมมากขึ้นย่อมก่อเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน ในระดับประเทศนั้นการเกษตรสมัยใหม่นั้นส่งผลในแง่ของระดับเศรษฐกิจ และธุรกิจทางการเกษตรเนื่องจากในปัจจุบันทั่วโลกเริ่มหันมาเอาใจใส่ในเรื่องของควมปลอดภัยของผู้บริโภค การตรวจสอบในเรื่องของการมีสารพิษตกค้าง การมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโลก ดังนั้นทั่วโลกจึงมีมาตรการในการจำกัดการส่งออกของประเทศที่มีปัญหาหรือมีความเสี่ยงเกี่ยวกับความอันตรายต่างๆในผลผลิตที่ผลิตออกมาสู่ผู้บริโภค รวมไปถึงความเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมโลก |
12 พิกุล ซุนพุ่ม |
รูปแบบการจัดการของการทำการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงสุดในพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด การทำการเกษตรสมัยใหม่เป็นไปในรูปแบบของเกษตรกรรมเคมี ทำให้เกิดปัญหาต่อระบบนิเวศโดยรวมของธรรมชาติ นับตั้งแต่เริ่มไถพรวนดินด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งทำลายโครงสร้างของดินและสิ่งมีชีวิตในดิน การใช้สารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดวัชพืช โรคแลแมลงศัตรูพืช ตลอดจนการใส่ปุ๋ยเคมี สารเคมีต่างๆ เป็นตัวทำลายสมดุลและวงจรชีวิตในธรรมชาติ ก่อให้เกิดปัญหาซับซ้อนตามมาเช่น ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ ทำให้เกิดการดื้อยา พบการระบาดเพิ่มมากขึ้นและยังอาจมีสารพิษตกค้างในดินและน้ำ เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงบริเวณใกล้เคียงนอกจากจะมีผลต่อสภาพแวดล้อมแล้วยังมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสุขภาพ ตั้งแต่ระดับเกษตรกรผู้ผลิต ผู้บริโภคและระดับประเทศ ทางด้านสุขภาพ เกษตรกรเป็นผู้ปฏิบัติงานในแปลงจึงมีโอกาสได้รับพิษภัยจากสารเคมีโดยตรง ผลผลิตที่ได้อาจมีสารพิษตกค้างอยู่ เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทางด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรต้องใช้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ในระดับประเทศทำให้เสียเงินตราให้ต่างประเทศ เพราะสารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประะเทศและหากพิษตกค้างในผลผลิตในระดับที่เป้นอันตรายก็อาจถูกกีดกันทางการค้าในระดับการค้าระหว่างประเทศ แล้วผลจะย้อนมาตกที่เกษตรกร เพราะจะทำให้ราคาผลผิตตกต่ำและเกษตรกรมีรายได้น้อยลง |
13 ณัฐชยา ปิงอินถา |
การทำการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด
(maximum yield) หรือเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด (maximum profit) หรือที่เรียกว่า
conventional agriculture เป็นการทำการเกษตรแผนใหม่เพื่อให้เกษตรกรนั้นได้ผลผลิตและกำไรในการเพาะปลูกสูงตามที่ต้องการ
ซึ่งการทำเช่นนี้เกษตรกรต้องมีการเพิ่มปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืช
ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอาหารภายในดินให้แก่พืชโดยการใส่ปุ๋ยเคมี การใช้ยาฆ่าแมลง
ยาปราบวัชพืช ในปริมาณที่มากขึ้น รวมทั้งการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการหรือแบบแผนในการเพาะปลูก
เช่น การใช้เครื่องจักรกล มีการไถพรวนแปลงเพาะปลูกมากขึ้น การจัดการด้านการชลประทาน
การเผาทำลายฟางหรือเศษซากพืชที่เหลือจากการเพาะปลูกเป็นต้น ผลพวงของการเกษตรกรรมสมัยใหม่
การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม ขาดความระมัดระวัง และการรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เช่น การเตรียมดิน ระบบการเกษตรที่ทำลายระบบนิเวศ การใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีที่ผิดวิธี
ตลอดจนการเก็บรักษาแปรรูปที่ไม่ถูกต้อง ยังผลให้เกิดความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและมลภาวะเพิ่มขึ้นและพื้นที่การเกษตรมีปัญหาเพิ่มขึ้น
เช่น เกิดการชะล้าง พังทะลายหน้าดิน ตัวอย่างในเขตพื้นที่เมดิเตอร์เรเนียนพบว่า
พื้นที่ทำการการเกษตรเกิดการชะล้างและการพังทะลายของหน้าดิน 50-70 % นอกจากนี้แล้วการชลประทานที่ผิดสถานที่
อาจทำให้เกิดพื้นที่ดินเค็มในพื้นที่ทำการเกษตรขยายตัวเร็วขึ้น ในด้านการใช้วัตถุมีพิษการเกษตรที่ปริมาณสูงและไม่ถูกวิธี มีผลกระทบโดยตรงและผลค้างในดิน น้ำ ผลิตผลทางการเกษตรทำให้เกิดอันตรายโดยตรงแก่เกษตรกรผู้ปลูก ผู้บิโภค สัตว์เลี้ยง และสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติทั้งทางบกและในน้ำ การใช้สารเคมีมากเกินความจำเป็นก่อให้เกิดผลเสีย ซึ่งไม่เพีงแต่กระทบกระเทือนต่อผู้ใช้หรือผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น หากแต่ยังมีผลกระทบในระยะยาว ทำให้สมดุลทางสภาพธรรมชาติสูญเสียไป ทำให้ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นตามมา ในกรณีของแมลงศัตรูพืชเกิดอาการต้านทานสารเคมีหรือดื้อยา เกิดการระบาดของศัตรูพืชชนิดใหม่ๆ เป็นเพราะว่าสารเคมีที่พ่นไปทำอันตรายต่อแมลงที่เป็นประโยชน์ ซึ่งได้แก่ แมลงตัวห้ำ ตัวเบียน ที่เป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยควบคุมประชากรแมลงศัตรูพืชมีมากเกินสมดุล การเสียสมดุลทางธรรมชาติเปิดโอกาสให้ศัตรูพืชเกิดระบาดทำลายขึ้นมาอย่างรุนแรง นอกจากนี้ การใช้สารเคมีและวัตถุมีพิษในดินมีผลทำให้จุลินทรีย์ดินที่มีอยู่ในธรรมชาติและมีประโยชน์ในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ มีประโยชน์ในการบำรุงดิน และบางอย่างเป็นศัตรูของศัตรูพืชถูกทำลายไปด้วย จะทำให้ดินลดความอุดมสมบูรณ์และสภาพทั้งทางกายภาพและทางเคมีเลวลงและเพิ่มปริมาณศัตรูพืชขึ้นเรื่อยๆ การใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่สูงสามารถก่อให้เกิดปัญหาต่อมนุษย์และสภาพแวดล้อมได้ เช่น การใช้ปุ๋ยเคมีที่มีไนโตรเจน มีผลทำให้ระดับไนเตรทในน้ำใต้ดินเพิ่มขึ้นจนอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ปุ๋ยไนโตรเจนยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนขึ้นเพราะเพิ่มการเกิดภาวะเรือนกระจก รวมทั้งการเกิดน้ำเน่าเสียตามแหล่งน้ำต่างๆเพราะไนโตรเจนที่มีอยู่ในน้ำจำนวนมากๆจะไปเร่งการเจริญเติบโตของสาหร่ายและพืชน้ำต่างๆทำให้ขาดออกซิเจนขึ้นในแหล่งน้ำต่างๆเหล่านั้น ในปุ๋ยฟอสฟอรัสเมื่อเกิดการสะสมในแหล่งน้ำในปริมาณมากก็ให้ผลเช่นเดียวกันกับปุ๋ยไนโตรเจน นอกจากนี้แล้วการใช้เครื่องจักรกลในการเกษตร การเผาฟางหรือเศษซากพืชที่เหลือจากการเกษตรเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการเรือนกระจกมีผลทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เนื่องจากมีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และยังมีผลทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศเพิ่มขึ้น จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการทำการเกษตรแบบใหม่เพื่อให้ได้ผลผลิตและกำไรสูงสุดนั้น ก่อให้เกิดผลเสียต่อทั้งมนุษย์ซึ่งได้แก่ เกษตรกร และผู้บริโภค ที่มีโอกาสได้รับสารพิษที่เกิดจากการตกค้างในสิ่งที่บริโภคเข้าไป รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมดังได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีผลทางอ้อมต่อเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือสารพิษที่ตกค้างในผลผลิตเกษตรสามารถใช้เป็นข้อกล่าวอ้างในการกีดกันการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรไปยังประเทศต่างๆอีกด้วย ดังนั้นในการทำการเกษตรนั้นเราไม่จำเป็นที่จะต้องผลิตผลผลิตออกมาเพียงเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดหรือผลผลิตที่สูงสุดแต่ควรผลิตในจุดที่เหมาะสมที่มีผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด |